Over 10 years we help companies reach their financial and branding goals. Engitech is a values-driven technology agency dedicated.

Gallery

Contacts

411 University St, Seattle, USA

engitech@oceanthemes.net

+1 -800-456-478-23

ประวัติความเป็นมา

“จากผลิตการ์ดภาษาไทย สู่ธุรกิจไอซีทีครบวงจร”

               บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ไออาร์ซีพี (IRCP) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2529 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยกลุ่มผู้บริหารคนไทย ที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มองเห็นความสำคัญและอนาคตที่เติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม โดยเริ่มต้นธุรกิจด้วยการผลิตการ์ดภาษาไทย ป้อนสู่ตลาดไอทีในประเทศ และประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้กว่า 80% ตลอดระยะเวลา 31 ปี ที่ผ่านมา บริษัทได้ มุ่งมั่นพัฒนาสินค้า และบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า

               บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่บริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขนาดใหญ่ของประเทศที่มีความสามารถในการให้บริการครบวงจรโดยการดำเนินธุรกิจของบริษัทจะมีการกระจายความเสียงทางด้านรายได้โดยไม่พึ่งพากับสายธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว

ส่งผลให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงโดยมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีทั้งนี้บริษัทยังมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอและมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ

               นอกจากนี้บริษัทยังตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาบุคคลากรของบริษัทซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจบริษัทมีการเอาใจใส่ดูแลส่งเสริมความก้าวหน้าและสนับสนุนการเพิ่มพูนความรู้อย่างต่อเนื่องให้กับบุคลากร

การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่สำคัญ

               บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“บริษัท” หรือ “IRCP”) ก่อตั้งโดยผู้บริหารคนไทย ซึ่งได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทขึ้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2529 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยได้เริ่มต้นประกอบธุรกิจจากการเป็นผู้ผลิตการ์ดแสดงผลภาษาไทยที่ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และต่อมาได้ขยายธุรกิจในสายงานด้านไอทีอย่างต่อเนื่อง

ปี 2533

  • บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท Microsoft Corporation ประเทศสหรัฐอเมริกา (Microsoft USA) พัฒนาเทคโนโลยีระบบภาษาไทยสำหรับระบบปฏิบัติการ เริ่มตั้งแต่ Microsoft DOS, Microsoft Windows 95/98 เรื่อยมาจนถึง Microsoft Windows NT server/ Workstation และปี 2536 บริษัทได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ผลิตซ้ำซอฟต์แวร์ของ Microsoft แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

ปี 2538

  • บริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจด้านที่ปรึกษาและการรวบรวมระบบคอมพิวเตอร์ โดยเข้าร่วมประมูลโครงการของภาครัฐและเอกชน

ปี 2540

  • บริษัทได้ขยายการลงทุนในธุรกิจไอที โดยเข้าไปถือหุ้นร้อยละ 99.99 ในบริษัท ไอที ดิสทริบิวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไอทีและอุปกรณ์ต่อพ่วง

ปี 2542

  • ขยายธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์โดยการลงทุนในบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล ซอฟต์แวร์ เดเวลลอปเม้นท์ จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 99.99

ปี 2544

  • ได้เข้าไปลงทุนในบริษัท ไออาร์ซี เทคโนโลยี จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 29.99 และปี 2545 - 2546 ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็นร้อยละ 49.99 และร้อยละ 50 ตามลำดับ และต่อมาในปี 2548 บริษัทได้จำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทนี้ให้แก่ผู้ถือหุ้นอีกฝ่ายหนึ่งไป โดยมีกำไรจากการขายหน่วยลงทุน 2.56 ล้านบาท

ปี 2547

  • บริษัทได้เห็นความสำคัญในการขยายการให้บริการสารสนเทศแบบครบวงจร จึงมีมติจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นอีก 1 บริษัท คือ บริษัท อินเทลลิเจ็นท์ เอ็นเตอร์ไพรส์ คอมพิวติ้ง จำกัด ซึ่งบริษัทได้เข้าไปถือหุ้นร้อยละ 60 และต่อมาในปี 2549 บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนอีก ทำให้บริษัทมีสัดส่วนถือหุ้นร้อยละ 92

ปี 2548

  • ในเดือนมีนาคม บริษัท ได้รับรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่น (Good Governance Award) รางวัลที่ 1 ประจำปี 2547 จากสถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ โดยเป็นรางวัลที่มอบให้กับหน่วยงานที่ยึดมั่นหลักการบริหารจัดการ ด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส มีความรับผิดชอบ มีคุณธรรมจริยธรรม

ปี 2552

  • บริษัทได้ยกเลิกสายธุรกิจภูมิศาสตร์สารสนเทศ และสายธุรกิจบริการให้คำปรึกษาพัฒนาระบบสารสนเทศ (บริษัท อินเทลลิเจ็นท์ เอ็นเตอร์ไพรส์ คอมพิวติ้ง จำกัด: INEC) เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นสายธุรกิจที่ไม่มีงานโครงการรองรับในอนาคต และเป็นสายธุรกิจที่ไม่สามารถสร้างกำไรให้แก่บริษัทได้

ปี 2553

  • บริษัทได้เพิ่มสายธุรกิจการให้บริการด้านสารสนเทศแบบครบวงจร โดยใช้ชื่อบริษัทอินเทลลิเจ็นท์ เอ็นเตอร์ไพรส์ คอมพิวติ้ง จำกัด: INEC เนื่องจากเมื่อปี 2552 ได้มีการยกเลิกสายธุรกิจ ในบริษัทนี้ไป แต่ตัวบริษัทยังคงอยู่ ต่อมาในช่วงปลายปี 2553 จึงมีการนำสายธุรกิจด้านการบริการกลับมาอีกครั้งในชื่อบริษัทเดิม
  • มีการขยายธุรกิจ โดยการลงทุนในบริษัท ทีวีเทเลคอม จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 99.99 ด้วยวิธีการเข้าซื้อกิจการเนื่องจากเห็นว่าธุรกิจดังกล่าวจะสนับสนุนให้กลุ่มบริษัทมีธุรกิจด้านเทเลคอมแบบครบวงจร
  • ในเดือนมิถุนายน บริษัทมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ในระดับบริหาร โดยมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer: CEO)

ปี 2555

  • ในช่วงปลายปี บริษัทได้ยกเลิกชื่อกลุ่มธุรกิจระบบเครือข่ายสารสนเทศ (Network Business Sector: NW) โดยปรับเปลี่ยนชื่อให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้น จึงนำกลุ่มธุรกิจนี้ไปรวมกับกลุ่มธุรกิจโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศระดับองค์กรภายใต้ชื่อเดิมคือ Enterprise Information Technology Business Department: EIT
  • ในเดือนธันวาคม กลุ่มบริษัทมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ในระดับคณะกรรมการบริษัท โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน เพื่อพิจารณาสรรหาบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ และพิจารณาผลประโยชน์และค่าตอบแทนต่าง ๆ ที่กรรมการได้รับ เพื่อความโปร่งใสและเป็นหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance)

ปี 2556

  • ในช่วงปลายปี กลุ่มบริษัทได้ยกเลิกกิจการ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล ซอฟต์แวร์ เดเวลลอปเม้นท์ จำกัด: ISD และได้โอนย้ายพนักงาน และธุรกิจของบริษัท ไปอยู่ภายใต้ บริษัท อินเทลลิเจ็นท์ เอ็นเตอร์ไพรส์ คอมพิวติ้ง จำกัด: INEC
  • กลุ่มบริษัท ได้ขยายธุรกิจ โดยได้จัดตั้งสายธุรกิจระบบวิทยุและโทรทัศน์กระจายเสียง (Digital Broadcasting) เพื่อดำเนินงาน รับเป็นที่ปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง และให้บริการคำแนะนำด้านการแพร่ภาพ โทรทัศน์ และวิทยุ ในระบบดิจิตอล และรองรับ นโยบายของภาครัฐที่จะเปลี่ยนถ่ายจากการแพร่ภาพโทรทัศน์และวิทยุในระบบ อนาล็อก เข้าสู่ระบบ ดิจิตอล

ปี 2557

  • บริษัท ไอที ดิสทริบิวชั่น จำกัด ได้เพิ่มทุนจากทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เป็น 50 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรองรับการเติบโตธุรกิจที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี

ปี 2558

  • จัดตั้งบริษัท คลีน แพลนนิ่ง จำกัด โดยบริษัท ไอที ดิสทริบิวชั่น จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 24.99 ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็กจากขยะ และบริหารจัดการและกำจัดขยะ ด้วยทุนทะเบียน 2 ล้านบาท และปัจจุบันในปีเดียวกันได้มีการเพิ่มทุนเป็น 50 ล้านบาท
  • บริษัท ไอที ดิสทริบิวชั่น จำกัด ได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไอที กรีน จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 เพื่อระดมทุน ให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนหรือขยายธุรกิจ ในการรองรับการเติบโตธุรกิจที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี
  • จัดตั้งบริษัท ไออาร์ซีพี คลาวด์ เซอร์วิส จำกัด โดย IRCP ถือหุ้นร้อยละ 51 ซึ่งเป็นสายธุรกิจระบบการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศบนคลาวด์“Integrated Cloud Services Agency” (ICSA) เพื่อดำเนินการให้บริการแบบบอกรับการเป็นสมาชิก (Subscription) ที่มีความคุ้มค่า ให้บริการกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และคู่ค่าด้านห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ให้สามารถเข้าถึง Localized Software as a Service (SaaS) จากผู้ให้บริการด้าน Cloud (Cloud Service Provider: CSP)
  • จัดตั้งบริษัท เอช อาร์ ซี พี จำกัด โดย IRCP ถือหุ้นร้อยละ 51 ซึ่งเป็นสายธุรกิจระบบเทคโนโลยีสารสนเทศทางด้านการดูแลสุขภาพและการแพทย์ มุ่งเน้นดำเนินงานเกี่ยวกับ เป็นที่ปรึกษา วางระบบ ที่เกี่ยวกับระบบสารสนเทศที่เป็นเฉพาะทางการดูแลสุขภาพและทางการแพทย์ เช่น ระบบการติดต่อสื่อสาร การรายงาน การควบคุม การสั่งการ บนรถฉุกเฉิน ระบบสารสนเทศการดูแลผู้สูงอายุ เป็นต้น

ปี 2559

  • จัดตั้งบริษัท สิงห์คอม อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด มีสถานะเป็นบริษัทร่วมทุน โดย IRCP เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 51 หรือ 5.1 ล้านบาท ของทุนจดทะเบียนจำนวน 10 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจโดยให้บริการออกแบบก่อสร้างสถานีฐาน ติดตั้ง รื้อถอน เพิ่มเติม อุปกรณ์รับส่งสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบไฟฟ้า และระบบโทรคมนาคม
  • บริษัท เอช อาร์ ซี พี จำกัด (HRCP) ได้ทำการขายหุ้นสามัญ ให้แก่บริษัท ไอ ทีกรีน จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2559 โดยบริษัท ไอที กรีน จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ 99.99

ปี 2560

  • บริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรในบริษัท เพื่อให้การทำงานมีความคล่องตัว โปร่งใส และสามารถตรวจสอบซึ่งกันและกันได้ ทั้งนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงผู้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารอีกด้วย

ปี 2561

  • กลุ่มบริษัทได้ปิดกิจการ บริษัท ไออาร์ซีพี คลาวด์ เซอร์วิส จำกัด (IRCP Cloud)

ปี 2562

  • บริษัทได้รับการประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2562 จากสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อยู่ในเกณฑ์ “ดีเลิศ” ด้วยคะแนน 99 คะแนน
  • บริษัทได้รับการประเมินของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) เรื่องการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน ประจำปี 2562 ซึ่งอยู่ในระดับ 4 ดาว หรือดีมาก
  • บริษัทได้ย้ายสำนักงานใหญ่จากพระราม 9 ไปยังอาคารคอลัมน์ทาวเวอร์

ปี 2563

  • บริษัท ทีวี เทเลคอม จำกัด เปลี่ยนชื่อบริษัท เป็น บริษัท สบายน์ อินทิเกรชั่น จำกัด โดยบริษัทฯ ถือหุ้น ร้อยละ 99.99%

ปี 2564

  • การลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 66.24 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 320.54 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 254.30 ล้านบาท โดยการตัดหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายของบริษัทจำนวน 66,236,520 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท
  • การโอนทุนสำรองตามกฎหมายจำนวน 25.43 ล้านบาท และส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญจำนวน 117.15 ล้านบาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัท
  • การลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 127.15 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 254.30 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 127.15 ล้านบาท โดยการลดมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้น (Par Value) จากหุ้นละ 1.00 บาท เป็นหุ้นละ 0.50 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุน
  • การเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 90.63 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 127.15 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 217.77 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 181,250,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และให้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวแก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) ในอัตรา 1.4030331 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน (เศษของหุ้นให้ปัดทิ้ง) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในราคาหุ้นละ 0.08 บาท และจดทะเบียนลดทุนจดทะเบียนและเพิ่มทุนจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ตามลำดับ
  • กลุ่มบริษัทได้ดำเนินการปิดบริษัท สบายน์ อินทิเกรชั่น จำกัด
  • บริษัท ไอที กรีน จำกัด (มหาชน) (ITG) ได้ทำการขายหุ้นสามัญ บริษัท คลีน แพลนนิ่ง จำกัด (CP) ให้แก่บริษัท ตะวัน โซล่าร์ เพาเวอร์ จำกัด เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 จำนวน 1,499,999 หุ้น

ปี 2565

  • ลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 11,124,034.50 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 217,774,873.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 206,650,838.50 บาท โดยการตัดหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายของบริษัทจำนวน 22,248,069 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งเป็นหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering)
  • ออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพที่ออกใหม่ของบริษัท (“หุ้นกู้แปลงสภาพ”) โดยมีมูลค่าการเสนอขายรวมไม่เกิน 300,000,000 บาท ให้แก่ผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง ได้แก่ Advance Opportunities Fund (“AO Fund”) และ Advance Opportunities Fund I (“AO Fund I”)
  • เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 58,874,883 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 206,650,838.50 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 265,525,721.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 117,749,766 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพของหุ้นกู้แปลงสภาพ
  • เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 48,020,329 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 265,525,721.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 96,040,658 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพของหุ้นกู้แปลงสภาพ
  • บริษัทได้ออกและขายหุ้นกู้แปลงสภาพ จำนวนรวม 185 ล้านบาท และผู้ถือหุ้นกู้แปลงสภาพใช้สิทธิแปลงสภาพแล้วจำนวน 162 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่เกิดจากการใช้สิทธิแปลงสภาพมีจำนวน 144,398,570 หุ้น โดยบริษัทดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนชำระดังกล่าวกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เรียบร้อยแล้วในปี 2565